The new way of decision

Thursday, August 18, 2011
เนื่องจากที่ผมติดตามพวกนิตยสารเกมรีวิวหรือเว๊ปไซด์ต่างๆมาเป็นเวลานานร่วมสิบกว่าปีได้ ณ ปัจจุบันความเห็นเรื่องการรีวิวเกมตามสื่อต่างๆของผมอาจจะค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อยตามสภาพเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่มันค่อยๆพัฒนาไป

อาจจะงงว่าวันนี้ผมมาบ่นอะไรวะเนี่ย ก็หลังจากที่พอจะได้รับรู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องสื่อรีวิวต่างๆซึ่งมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เราเห็น มันก็ทำให้ความคิดเรื่องการรีวิวของผมเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย
หลายคนอาจจะคิดว่าจะไปแคร์ทำไมแค่รีวิว มันก็แค่ความคิดเห็นของคนๆเดียวแต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้หรอกครับว่าจริงๆแล้วรีวิวมันก็ยังมีผลเกี่ยวกับการเลือกซื้อเกมใดเกมหนึ่งมาเล่น และยิ่งเดี๋ยวนี้เกมยิ่งราคาไม่ใช่ถูกๆอีกแล้วด้วยเราควรต้องยิ่งหาข้อมูลก่อนจะซื้อมากขึ้นไปอีก

พูดเรื่องรีวิวนิดหน่อย เท่าที่ทราบมาตามเว๊ปไซด์ดังๆทั้งหลายมันมีเรื่องไม่บริสุทธิเท่าไหร่อยู่เบื้องหลัง ทั้งแบบว่าทางค่ายเกมทำสัญญากับทางสื่อว่า ห้ามลงบทความรีวิวถ้าจะให้คะแนนต่ำกว่าเท่าไหร่ก็ว่าไป พูดง่ายๆว่า ห้ามลงถ้ามึงจะสับตู ว่างั้น หลายค่ายมีการขู่ว่าถ้าให้คะแนนต่ำต่อไปตูจะไม่ส่งเกมให้มึงรีวิวก่อนอีกแล้วซึ่งนั่นก็ส่งผลกระทบอย่างมากกับสื่อทางอินเตอร์เน็ตที่ต้องแข่งขันกันด้านความเร็ว แน่นนอนว่าอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดทุกค่ายทำอย่างนี้ แต่รับรองว่าเรื่องแบบนี้มันมีอยู่แน่ แล้วมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทางผู้ผลิตแทนที่จะมุ่งมั่นทำเกมคุณภาพออกมาแต่กลับต้องมาใช้เงื่อนไขทางธุุรกิจเพื่อปกปิดข้อผิดพลาดของโปรดักตนเอง

ส่วนเรื่องคะแนนรีวิว มาคิดๆดูแล้วมันก็เป็นเรื่องน่าตลกเหมือนกัน
ขอหย่อนหินถามทางก่อนว่า เกมที่ได้คะแนน 75% หมายความว่าอย่างไร หลายคนก็คงบอกว่าอืมก็คงเป็นเกมที่ใช้ได้เกือบดี แต่นั่นมันหมายความว่ายังไงจริงๆ แล้วถามต่อว่า เกมที่ได้ 75% กับเกมที่ได้ 70% หมายความว่ายังไง เกมที่ 70% ห่วยกว่าเกมที่ 75% หรือเปล่า
โดยหลักแล้วคะแนนรีวิวจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆที่เป็นสากลคือ 100%, 5 ดาว และ 10 คะแนน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมว่าคะแนนทั้งหลายแหล่มันคือ "ความรู้สึก" เท่านั้น เพราะมันไม่มีอะไรมาวัดงานศิลปได้จริงๆหรอก

ทีนี้มันเริ่มมีเทรนด์ใหม่เข้ามาหลายคนที่ติดตามทางพวก Youtube อาจจะคุ้นเคยกับพวกการ Cast เกมหรือ First Impression ความประทับใจแรกกับเกมนั้นๆหรือเล่นไปบ่นไปอะไรประมาณนั้นซึ่งส่วนตัวผมว่าหลายครั้ง มันช่วยในการตัดสินใจมากกว่าบทความรีวิวเสียอีก แน่นอนว่าข้อเสียมันก็คือเรื่อง Spoiler ในช่วงแรกๆของเกมไปเต็มๆแต่ข้อดีของมันก็มีอยู่ไม่น้อย อารมณ์เหมือนประมาณเราไปเล่นบ้างเพื่อนแล้วเห็นเพื่อนมันเล่นเกมนี้อยู่ดูน่าสนุก ดูมันเล่นก็สนุกแล้วเลยอยากหามาเล่นบ้าง การทำแบบนี้มันไม่ใช่การ วิจารณ์ แต่มันเหมือนการ แนะนำ มากกว่า หลายครั้งนะครับที่ผมดูวีดีโอการเล่นไปบ่นไปของ Caster หลายๆคนแล้วทำให้อยากเล่นเกมนั้นๆขึ้นมาเลย เพราะว่าเราได้เห็นเกมเพลย์แบบจริงๆและอารมณ์คนเล่นแบบจริงๆ บางเกมมีทำเป็นซีรี่ย์ยาวหลายสิบตอนเลยก็มีซึ่งก็ดูเพลินดี

การทำแบบนี้มีผลดีกับพวกเกมอินดี้หรือเกมที่ไม่ได้ดังมากนะผมว่าเพราะคนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จักเกมนั้นๆมาก่อนพอได้เห็นเกมเพลย์ถึงจะตัดสินใจได้ต่างกับพวกเกมใหญ่อย่าง COD หรือ Mass Effect ที่ยังไงเราก็คงพอจะทราบว่าการเล่นมันจะเป็นรูปแบบไหน รวมไปถึงเกมอินดี้ที่บางทีรูปแบบเกมเพลย์มันเป็นจุดขายของเกมที่อาจจะแปลกใหม่ไม่เหมือนใครดังนั้นการทำวีดีโอแคสนี่แหละครับเหมาะที่สุด

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะได้เห็นโปรเจควีดีโอเคส ณ ที่แห่งนี้ก็ได้นะใครจะรู้ อิอิอิ

Steam Games Review August 2011

Wednesday, August 10, 2011
เอาล่ะครับ ถึงแม้ว่านี่จะเพิ่งต้นๆเดือนเอง แต่ด้วยความที่เกมมันทะลักทะล้นออกกันมาซะเหลือเกินเรียกได้ว่าเป็นช่วงทองของเกม Indie เลยก็ว่าได้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีเกมน่าสนใจหลากหลายแนวมาให้เราได้ลองกัน ในฐานะที่ผมได้ลองเกมที่เพิ่งจะออกไปเมื่อช่วงสิ้นเดือนที่แล้วรวมถึงต้นเดือนนี้ไปแล้วบ้างก็เลยจะมาขอรีวิวคร่าวๆให้ทุกๆท่านได้พิจารณากันนะครับ (ขอรวม Bastion กับ From Dust ที่กำลังจะออกไปด้วยเลยละกันในฐานะที่ได้เล่นบน Xbox 360 ไปก่อนแล้วนะครับ)
เอาล่ะไม่ขอร่ายยาวละ เข้าเรื่องเลยละกัน

E.Y.E.: Divine Cybermance
หลายคนถามถึงเกมนี้เข้ามาพอสมควรนะครับ สำหรับ E.Y.E ซึ่งเป็นเกมแนว First Person Shooter ผสมผสานไปกับระบบพัฒนาตัวละครในรูปแบบเกม RPG คือสามารถอัพค่า Status ได้เมื่อ Level Up และสามารถนำเงินที่ได้จากการทำ Mission หรือฆ่าศัตรูมาพัฒนา Skill และ Research ได้อีกด้วย หลายคนอ่านถึงตรงนี้คงเอะใจได้แล้วว่า นี่มัน Deus-EX เลยนี่หว่า ก็ไม่ขอเถียงครับว่ามีความคล้ายคลึงกันมิใช่น้อย
ตัวเกมพัฒนาโดยบริษัท Streum On Studio และใช้ Source Engine ของ Valve เป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้นหลายท่านอาจจะคาดว่าเกมมันต้องงดงามอย่างน้อยก็ต้อง Half-Life 2 ล่ะวะ แต่ขอบอกว่าท่านคิดผิดครับ เพราะว่า Texture ในเกมนั้นหยาบเสียยิ่งกว่าเกมเมื่อ 5 ปีที่แล้วเสียอีก แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ประเด็นเพราะว่านี่มันเกม Indie โดยทีมพัฒนาเล็กๆเองนี่หว่าจะเอาไปเทียบกันได้ยังไง ซึ่งมันก็จริงครับ

ขอพูดเรื่องเกมเพลย์หน่อยละกัน เกมมี Mission ให้ทำโดยเราสามารถเลือกวิธีทำได้ อาจจะไม่ได้เปิดกว้างขนาด Dues-Ex แต่ก็ยังมีทางเลือกให้สำหรับผู้เล่นเช่นจะเสียเงินก้อนโตเพื่อหลีกเลี่่ยงการปะทะหรือจะไม่สนยิงแม่มดับเลยก็สามารถทำได้ ศัตรูในเกมจะ Respawn มาเรื่อยๆซึ่งก็อาจจะดีที่ให้เราเก็บเงินได้เรื่อยๆแถมศัตรูลูกจ๊อกนั้นยิงทีสองทีก็ดับแล้ว แต่ในบางด่านศัตรูจะ Respawn แบบบ้าคลั่งมาก คือมาเรื่อยๆ และที่น่าหงุดหงิดก็คือ ในขณะที่เราทำอย่างอื่นอยู่เช่นเข้าหน้าเมนูตัวละคร หรือกำลัง Hack อยู่นั้นเกมมันจะไม่ได้หยุดคือศัตรูก็ยังวิ่งมายิงๆเราได้ในขณะที่ ก็ตูอยู่ในโหมด Hack หรือกำลังจะเลือกคำสั่งอะไรอยู่ มรึงจะสมจริงไปไหน

Source Engine ก็อาจจะไม่ได้งามเสมอไปนะ

ระบบ Hack ในเกมนี้ถือว่าน่าสนใจครับคือในการ Hack เปิดประตูที่ล็อคอยู่หรือเอาข้อมูลอะไรซักอย่าง เกมจะเข้าสู่เมนู Hack โดยเราจะต้องเลือกคำสั่งเข้าจู่โจมตัวคอมที่เราจะ Hack โดยคำสั่งหลักๆก็จะมีโจมตี เพิ่มพลังป้องกัน ลดพลังโจมตีศัตรู ลดพลังป้องกันศัตรู อะไรแบบนี้ โดยความยากง่ายก็จะขึ้นอยู่กับทักษะในการ Hack ของตัวละครของเราด้วยอีกส่วนนึงซึ่งก็น่าสนใจไม่น้อย (แต่ก็ยากอยู่มากเหมือนกันในบางที ยิ่งศัตรูแมร่งก็วิ่งมายิงอยู่ได้เรื่อยๆด้วยยิ่งเพิ่มความยากขึ้นไปอีก)

ทีนี้มาเรื่องกราฟฟิคบ้าง ก็อย่างที่บอกว่า Texture รวมๆค่อนข้างหยาบแต่ Texture ตัวละครก็ไม่ได้แย่มากคือพอผ่านไปได้ไม่น่าเกลียด แต่ที่สุดๆเลยคือ เกมมืดมาก เล่น Vampire Bloodline ว่ามืดแล้วเกมนี้แมร่งมืดกว่าหลายเท่าตัว ยิ่งฉากในท่อระบายน้ำนี่ไม่ต้องพูดถึงแทบจะต้องปรับ Gamma กันแบบสุดๆเลยทีเดียว แถมไฟฉายในเกมนั้นพลังไฟก็น้อยเหลือเกินคือเปิดกับปิดนี่แทบไม่ต่างกัน คือเล่นเกมนี้แล้วตาจะบอดเอาได้ แถมฉากก็เป็นเมืองตอนกลางคืนหรือเป็นฉากมืดๆซะส่วนใหญ่อีกด้วย
เรื่อง Design อยากพูดนิดหน่อย ก็เข้าใจว่าเรื่องนี้มันแล้วแต่ Testes ของแต่ละคนจริงๆ ใช่ครับ แต่พี่ครับพี่จะเอาอะไรก็เอาซักแนวเถอะครับใน E.Y.E มันมีทั้งจีน Dark Gothic, Cyber Punk มันปนกันวุ่นวายไปหมดแถมดีโซน์พี่ก็แปลกเหลือเกิน บางตัวก็เช้ยเชยชุดนี่ยังกับชุดนักรบในสมัย Medieval โน่น ส่วนตัวมันเลยดูแล้วแปลกๆมากกว่าจะประทับใจ

ชุดพี่เชยได้ใจจริงๆ

เรื่องใหญ่ๆของเกมในขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ Bug อันชุกชุมถึงขนาดที่ว่าบางคนกดโหลดเกมก็เด้งออกหน้าจอซะแล้ว (ผมเจอปัญหานี้ครั้งนึงครับ หลักๆก็คืออย่ากดอะไรในขณะที่โลโก้บริษัทขึ้นตอนแรกเลย สงสัยอาจจะเป็นแผนโปรโมตบริษัทตัวเองหรือเปล่า มรึงไม่ดูตูไม่ให้เล่นอะไรแบบนี้) แต่ที่โดนกับตัวแล้วเท่าที่ทราบก็คือหลายๆคนก็เจอปัญหาเดียวกันคือ เกมจะหลุดทุกครั้งที่โหลดฉากใหม่คือเวลาจบภารกิจ หรือไปฉากใหม่เพื่อทำภารกิจเกมจะหลุดก่อนทุกครั้ง แต่เมื่อเข้ามาใหม่ก็เล่นต่อได้เพราะ ออ เกมนี้ Autosave ให้เองครับ (Save เองไม่ได้ด้วยนะ อารมณ์เหมือน Diablo อ่ะคือออกจากเกมตรงไหนก็คือกลับมาตรงนั้นเลย)
นอกจากนั้นเกมยังมีปัญหาเล็กๆจุกจิกที่อาจจะต้องรอ Patch ขนาดมโหฬารมาแก้ไขเช่นเรื่องไฟฉายไร้แสงสว่างที่กล่าวไป และเวลาคลาน คือนั่งยองๆแล้วเดินจะช้ามาก ช้าในที่นี้ของผมคือแทบจะวินาทีละเซนติเมตรเลยทีเดียวคือโคตรช้าไม่รู้ทำไม อาจจะเป็นข้อผิดพลาดตอนออกแบบเกมนะครับตรงนี้

จริงๆเกมมี Multiplayer และ Co-Op ด้วยแต่เนื่องจากผมต่อเท่าไหร่ก็ต่อไม่ได้ซักทีเลยยังไม่ได้มีโอกาสได้ลองนะครับต้องขออภัย

โดยรวม
สำหรับ E.Y.E.:Divine Cybermance ผมเคยกล่าวไปแล้วว่าเป็นเกมที่ค่อนข้างหวังสูงหรือ Ambitious มากๆจนมันอาจจะมากไปเกินกำลังของคนทำหรือเปล่าก็ไม่รู้ คือทั้งเนื้อเรื่อง ระบบเกมอันซับซ้อนใช้ได้คือเต็มไปด้วยรายละเอียดจริงๆ แต่มันทำให้การเล่นหรือส่วนอื่นของเกมมันด้อยไปด้วย คือไม่ใช่ด้อยอย่างเดียวต้องเรียกว่าผิดพลาดเลยแหละนะ สำหรับใครที่เล็งเกมนี้หรือเกมแนวนี้ (ซึ่ง Deus-Ex ก็จะออกในอีกไม่กี่วันนี้แล้วอ่ะนะ) ก็ขอให้รอก่อนครับ รอให้มี Patch ออกมาแก้ก่อนซึ่งทางผู้พัฒนาก็บอกว่ากำลังรีบเร่งทำ Patch ออกมาอยู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยจัดมาก็ไม่เสียครับ เพราะเกมค่อนข้างแพงนะไม่ถูกเลยสำหรับเกมอินดี้


Trauma
เมื่อเกมและงาน Art มาพบปะเจอะเจอกันอีกครั้งงานนี้ก็ออกมาเป็นเกม...... ไม่ค่อยอยากใช้คำว่าเกมเท่าไหร่นะครับสำหรับ Trauma เพราะว่าจริงๆแล้วมันเป็นงานแบบ New Media ด้าน Interactive Photo มากกว่าคือเราสามารถเล่นกับรูปภาพที่ร้อยเรียงกันออกมาเป็นฉากในเรื่องราว สามารถลากเม๊าท์เพื่อซูม หันซ้ายขวา หรือทำคำสั่งพิเศษได้ Trauma เป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และต้องค้นหาตัวเองในความทรงจำขณะที่นอนฟื้นตัวอยู่ที่โรงพยาบาล การเล่นก็ไม่มีอะไรมากคือเป็น Point and Click Adventure โดยแก้ปริศนาและหาภาพถ่ายในแต่ละด่าน เงื่อนไขการผ่านด่านมีมากกว่าหนึ่งแบบอีกด้วย


โดยรวม
ส่วนตัวผมว่าเนื้อเรื่อง การเล่าเรื่องในเกมน่าสนใจมาก บวกกับเสียงบรรยายและเพลงที่มันเวิ้งๆหลอนฝันดีใช้ได้เหมือนกันมันเลยทำให้บรรยากาศในเกมค่อนข้างเยี่ยมทีเดียว ตัวเกมไม่มีอะไรมากไปกว่าการแก้ปริศนาเล็กๆน้อยๆในด่าน และเห็นด้วยกับหลายๆรีวิวที่ว่ามันเหมือนเป็นโปรเจ็ค Thesis เด็กมหาลัยมากกว่า ฉากมีแค่ 4 ฉากซึ่งค่อนข้างน้อยนะคือใช้เวลาเล่นจริงๆเทียบกับเงินที่เสียไปอาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่กับราคาตั้ง 7 เหรียญ ความเห็นผมถึงแม้ว่าเกมจะเยี่ยมขนาดไหนแต่ไม่ควรเสียตังขนาดนี้ซื้อครับ คือแพงไปหน่อย (มากเลยแหละ) และจริงๆหากใครอดไม่ไหวอยากลองจริงๆไปลองที่เว๊ปไซด์เค้าได้ ฟรีครับเสียเวลาโหลดหน่อยแค่นั้นเอง

http://www.traumagame.com/


LIMBO
เกม Platformer สุด Hot ในขณะนี้ซึ่งจรีงๆเกมไม่ใหม่เลยเพราะว่าผมเล่นบน Xbox 360 ไปเมื่อนานมาแล้วมากแต่ของ PC เพิ่งออกมาให้ลองกัน
สำหรับ Limbo ก็ต้องบอกว่าเป็นเกม Platformer ชั้นเยี่ยมเลยครับ ทั้งบรรยากาศ กราฟฟิคแบบขาวดำไม่เหมือนใคร และความสยดสยองที่จะฆ่าคุณได้ทุกย่างก้าวเลยก็ว่าได้ คือเล่นรอบแรกตายไม่ต่ำกว่า 30 ครั้งแน่นอน คือก้าวผิดกะจังหวะผิด ก็ตายแล้วสำหรับเกมนี้ แต่ Puzzle ในเกมก็ไม่ได้ยากมากถึงขนาดต้องดึงผมกันร่วงระนาวขนาดนั้นนะครับ คือไม่ต้องคิดเยอะบางทีกะจังหวะให้ถูก ทำให้ถูกก็ผ่านแล้วคือไม่ต้องคิดหลายตลบมาก ผมเล่นจบทั้งเกมได้ในรอบแรกโดยมีไม่กี่ปริศนาเท่านี้ที่ต้องลองแล้วลองอีกถึงจะผ่าน (ไม่เกิน 2-3 จุด) แถมมุกหรือแก๊กในเกมให้เราได้แก้ปริศนาก็ฉลาดและแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครเท่าไหร่ด้วย หลายคนอาจจะถามว่าน่ากลัวมากมั้ย ก็ขอตอบว่าด้วยกราฟฟิคแบบขาวดำ ถึงแม้จะตายโหดขนาดไหนก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่หรอกครับและมันก็ไม่ได้มีฉากตกใจหรือสยดสยองอะไร แค่บรรยากาศเท่านั้นเองที่มันดูอึมทึมมาคุๆตลอดเลยอาจจะทำให้อึดอัดไปบ้าง


ความตายในเกมนี้มาได้ตลอดเวลาและทุกรูปแบบ

โดยรวม

จัดเต็มครับเกมนี้สำหรับคนชอบ Platformer นะครับ



Bastion
เกม Action-RPG ที่หลายคนเฝ้ารอคอย ต้องอธิบายก่อนว่า Bastion ไม่ใช่ Action-RPG แบบ Diablo หรือ Torchlight ที่ให้เราตีมอนเก็บ Level เก็บของไปเรื่อยๆ แต่จะเล่นเป็นฉากๆไปโดยเราจะสามารถเลือกอาวุธตีกับอาวุธยิงได้อย่างละอันก่อนเริ่มฉากบวกกับ Skill อีก 1 ท่าเท่านั้นในแต่ละฉาก ส่วนแต่ละด่านนั้นนอกจากเป็นเนื้อเรื่องแล้วก็จะมีฉากทีเป็น Challenge ที่ให้เราใช้อาวุธที่กำหนดฆ่าศัตรูเพื่อปลดล็อคของที่จำนำมาอัพเกรตอาวุธหรือ Passive Skill เพิ่ม Status คือในโหมด Challenge จะมีของ 3 ระดับยิ่งเราทำได้ดีเท่าไหร่ คือฆ่าศัตรูได้เยอะหรือเสียพลังน้อยหรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่กำหนดก็จะได้ของดีขึ้นเท่านั้น ในฉากแรกๆเราจะเก็บของที่นำมาสร้าง Structure ที่เมืองของเราได้เช่นโรงตีดาบหรือที่พัฒนา Skill โดยมีทั้งหมด 6 แห่งแล้วแต่ว่าเราจะสร้างอะไรก่อนหลัง

เกมพลย์ในเกมก็อย่างที่กล่าวไปคือใช้อาวุธโจมตีศัตรูได้ทั้งแบบประชิดและระยะไกล ตัวละครมี Level แต่ไม่มี Status ให้อัพเกรตแต่อย่างใด ตัวเกมต้องถือว่าค่อนข้างยากใช้ได้เพราะศัตรูโจมตีเรารุนแรงใช้ได้เลยต้องคอยกลิ้งๆหลบเอาและ Potion ก็มีจำกัดและถือได้จำกัดด้วย (อัพเกรตให้ถือ Potion เพิ่มขึ้นได้นะ) อาจจะต้องขอพูดว่า Bastion เป็น Action-RPG แบบเกม Console ไม่ใช่แบบ Hack/Slash ที่เป็นที่นิยมของเกม PC นะครับ เพราะเราต้องกดปุ่มบังคับทิศทาง กดโจมตีกดใช้ท่ากดกลิ้งหลบไปด้วย (ผมไม่แน่ใจว่าในเวอร์ชั่น PC จะเปลี่ยนการควบคุมไปขนาดไหนแต่คิดว่าไม่น่าจะต่างกันมาก) ดังนั้นหากใครจะเตรียมลุยเกมนี้ก็เตรียมหา Joypad ไว้ซักหน่อยก็ดีนะครับ

งานศิลป์เกมนี้นับว่าสุดยอดทั้งภาพ แสง สี และเสียงพากย์เลยทีเดียว

กราฟฟิคในเกมถือว่าอลังการและสวยงามมากครับบวกกับเอฟเฟ็คที่โลกจะค่อยๆเรียงต่อกันขึ้นมาเมื่อเราเดินผ่านไปนั้นยิ่งทำให้มันดูสวยงามขึ้นไปอีก และที่เป็นจุดเด่นของเกมก็คือ Narrator ที่จะคอยพากย์ตลอดการเล่นเกมของเราไปด้วยยิ่งช่วยเพิ่มสีสรรในเกมมากยิ่งขึ้นไปอีก

หากจะให้พูดถึงข้อเสียของเกมก็คงจะเป็นความหลากหลายของศัตรูที่ดูจะน้อยไปซักนิดบวกกับความยากของเกมที่อาจจะยากไปซักหน่อยและอาวุธที่อาจจะไม่ได้หลากหลายเท่าไหร่นักรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างซึ่งน่าจะหลากหลายได้มากกว่านี้ก็อาจจะทำให้การพัฒนาตัวละครในเกมมันดูจำกัดไปบ้างนะครับ

โดยรวม
ด้วย Production ที่สวยงามขนาดนี้จากน้ำมือของ Studio เล็กๆขนาดนี้รวมไปถึงเกมพลย์ที่สนุกสนานและสวยงามถึงจะไม่ได้ฮาร์ดคอมากก็ตามทีแต่แน่ใจได้เลยว่าคุณสามรถใช้เวลาไปกับ Bastion ได้หลายสิบชั่วโมงแน่นอนครับ จัดไปเลยสำหรับคนชอบเกมภาพสวยๆและ Action RPG (สไตล์ตอนโซล) นะครับ


From Dust
เกมแนวสร้างสรรค์อีกแล้ว สำหรับ From Dust ต้องยอมรับก่อนเลยว่าเป็นเกมที่พยายามสร้างความแปลกใหม่อย่างแท้จริง ถึงจริงๆมันก็ไม่ได้ใหม่เท่าไหร่ก็ตามเถอะนะ เอ๋ะอย่าเพิ่งงงครับ จริงๆแล้ว From Dust นั้นเป็นเกมแก้ปริศนาในแต่ละฉาก (ทั้งหมด 13 ฉากสำหรับ Campaign) โดยเราจะต้องปกป้องชนเผ่าจากภัยธรรมชาติต่างๆทั้งคลื่นสึนามิหรือภูเขาไฟระเบิด


ตัวเกมดูเหมือนจะพยายามดันไอเดีย Sand Box หรือความเปิดกว้างในการทำภารกิจในแต่ละฉาก สำหรับผมอาจจะผิดหวังเล็กๆคือจริงๆแล้วมันไม่ได้เปิดกว้างมากขนาดนั้น โดยหลักๆประมาณ 90% ของเกมก็คือพยายามถมดินสร้างทางเดินให้ชนเผ่าไปให้ถึงเป้าหมาย อย่างการป้องกันคลื่นสึนามิก็คือให้ชนเผ่าเราไปบูชารูปปั้นเพื่อให้ได้พลังมาปกป้องหมู่บ้านเท่านั้น ตอนแรกที่ผมคิดนึกว่าจะต้องแบบแก้ปริศนาขนาดแบบสร้างเขื่อนหรือทำทางน้ำอะไรหรือเปล่าแต่ไม่ใช่เลยครับ หลักๆก็คือถมทางไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น เรื่องเกมเพลย์เลยอาจจะผิดหวังไปบ้างเพราะจริงๆนึกว่าแบบจะสามารถร่ายเวทย์อะไรได้อย่าง Black&White อะไรเสียอีก รวมไปถึงขนาดของฉากซึ่งค่อนข้างจำกัดคือมันไม่ได้ใหญ่แบบทั้งทวีปเป็น Sand Box ขนาดนั้นในแต่ละฉากก็จะให้เราเล่นแผนที่ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

แต่กราฟฟิคในเกมนี้ต้องยอมรับเลยว่ามีอึ้งครับ คือสวยมากจริงๆทั้งเอฟเฟ็คคลื่น น้ำ ไฟ ทั้งหลายทำออกมาได้ดีมากๆเรียกว่าแค่ดูก็อาจจะคุ้มแล้วสำหรับเกมนี้ เรายังสามารถซูมเข้าไปดูพฤติกรรมของชนเผ่าได้แบบใกล้ๆหรือซูมออกมาไกลๆเพื่อดูภูมิประเทศของพื้่นที่ในฉากได้ นับว่าสุดยอดครับ

สึนามิในเกมนี้สวยงามอลังการมากนะครับ

ทว่า From Dust ไม่ได้เป็นเกมที่ปล่อยให้คุณได้ชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติหรือ Landscape ที่ผู้เล่นสร้างเพราะหลายๆด่านเราจะต้องแข่งกับเวลาเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นฉะนั้นจะมารีรอนั่งดูชาวเผ่าเต้นรำรอบ Magic Stone อยู่ไม่ได้และต้องขอบอกว่าเกมนี้ ยากจริงครับ บางด่านนี่แทบจะถอดใจเลยก็มี

ทั้ง Bastion และ From Dust นั้นผมเล่นบน Xbox 360 ปัญหาเรื่องเทคนิคเลยอาจจะบอกอะไรไม่ได้มากว่าจะมีอะไรมั้ย เฟรมเรตจะลื่นมั้ยบัคจะมีอะไรบ้างหรือเปล่าแต่เท่าที่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ From Dust แตกต่างกับ Bastion เรื่องการบังคับนิดหน่อยที่ผมว่า From Dust น่าจะเหมาะกับ Mouse และ Keybord มากกว่าจอยเพราะบางทีการใช้จอยบังคับตัวเราให้ไปถมดินตรงจุดที่กำหนดมันก็ไม่ค่อยแม่นยำซักเท่าไหร่ ฉะนั้นบน PC น่าจะดีกว่าครับ

โดยรวม
เกมเพลย์แบบ God Game ที่ให้เรานั้นไร้พลังวิเศษใดๆนอกจากเป็นแรงงานถมดินถมทรายถึงแม้คอนเซ๊ปจะบอกว่าให้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติซึ่งก็เห็นจริงๆและงดงามมากๆด้วย แต่มันก็อาจจะทำให้เกมเพลย์มันดูค่อนข้างจำกัดและไม่ได้เปิดกว้างเท่าไหร่นักครับ แต่บอกตามตรงเลยว่าแค่กราฟฟิคก็คุ้มแล้วนะสำหรับเกมนี้ สำหรับใครที่ชอบเกมแนว Simulation ภาพสวยๆก็แนะนำครับ แต่ถ้าคนที่อยากได้ความมันส์ความสนุกจากเกมเพลย์แล้วละก็อาจจะผิดหวังได้นะครับสำหรับ From Dust ดังนั้นขอแนะนำว่า ให้หา Demo มาลองก่อนก็น่าจะดีครับ (จะมีมั้ยอ่ะ ก็น่าจะมีนะ)


Shoot 'em Up ยิงแม่งเลย กับการคงตัวตนของความเป็น Arcade Action

Monday, August 8, 2011
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาสได้เล่นเกม Arcade Action Shooter บนเครื่อง Xbox360 ในนาม Earth Defense Force: Insect Armageddon ซึ่งเป็นภาคล่าสุดของซีรี่ย์นี้

ส่วนตัวผมไม่เคยเล่นเกมในซีรี่ย์มาก่อนนะครับแต่ก็พอจะรู้เห็นมาบ้างว่าเกมซีรี่ย์นี้เป็นเกมที่เรารับบทเป็นหน่วยพิทักษ์โลกเข้าต่อสู้กับเอเลี่้ยนตัวยักษ์ๆอารมณ์ประมาณหนังทีววีญี่ปุ่นสมัยก่อนๆแบบ Ultraman หรือ Godzilla ประมาณนั้น เคยด้อมๆมองๆตัวเกมในภาคก่อนมาหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้เล่น จนมาถึงภาคนี้เลยคิดว่าน่าจะลองซักหน่อย

ตัวเกมเท่าที่เล่นมาก็อย่างที่เกริ่้นไปว่าเป็นเกมแนว Arcade Shooter ในมุมมองบุคคลที่ 3 ที่ให้เราได้ตะบันกระสุนใส่ศัตรูที่ถ่าโถมเข้ามาแบบไม่ยั้งตามมาด้วยบอสตัวโตๆ ยานบินลำใหญ่ๆกว่าตึกรามบ้านช่องโผล่มาให้เราได้ยิงกันแบบไม่มีหยุด

บอสยักษ์อลังการแบบนี้ล่ะครับที่ชอบ

เราสามารถเลือกตัวละครได้ 4 คลาสซึ่งอาวุธที่ใช้ ความเร็ว และความสามารถพิเศษที่ต่างกันไปแถมสามารถอัพเกรตอาวุธและเก็บ Level ของคลาสนั้นๆได้อีกด้วย
โดยรวมแล้วส่วนตัวรู้สึกชอบเกมนี้มากๆ รู้สึกเล่นแล้วมันมันส์สะใจและสนุกอาจจะเป็นความชอบส่วนตัวด้วยที่ชอบเรื่องราวประมาณ Alien Invasion และเกมที่ได้สู้กับศัตรูตัวใหญ่ๆ วันนี้มีเวลาก็เลยมานั่งคิดนังเขียนเล่นๆซักหน่อยว่าทำไมเราถึงชอบเกมสไตลล์แบบนี้ ในขณะที่ความจริงเกมที่นับว่ายอดเยี่ยมระดับ GOTY นั้นต้องมีเนื้อเรื่องสุดเจ๋ง ระบบ Physic สุดจ๊าบ กราฟฟิคต้องงดงาม งาน Art ต้องเทพ Effect ต้องโดน เพลงต้องมันส์และเกมเพลย์อันลึกซึ้ง EDF แทบจะไม่มีสิ่งที่กล่าวมาเลยก็ว่าได้ ทั้งเนื้อเรื่องสุด Cheesy ระบบ Physic ... ลืมมันไปเถอะ กราฟฟิคก็งั้นๆพอไปวัดวาได้ งาน Art ก็เฉยๆ Effect ก็ระดับกลาง เพลงก็มันส์ใช้ได้แต่ไม่ได้ระดับ Han Zimmer อะไร แต่ที่ต้องยกนิ้วให้เลยก็คือว่ามันส์ระดับ Nonstop ของเกมและความที่เกมซื่อสัตย์ต่อความเป็น Arcade Shooter มากๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมตัวเกมถึงไม่มี Tutorial อะไร พอกดเริ่มเกมปุ๊ปเกมจะให้คุณได้ลงสู้สนามรบท่ามกลางเหล่าแมลงตัวนั้นตัวนี้นับพันทันที เพราะว่าเกมแบบนี้คุณสามารถปิดสวิตสมองและเอนจอยกับมันได้เลย
จริงครับที่หลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นเกมที่แบบไร้ความคิด Mindless Shooter แต่บางทีในบางวันบางเวลาเราก็อยากได้ความสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากแบบนี้จริงหรือไม่ ก็เหมือนกับการที่บางทีเราก็อยากจะดูหนังแอ็คชั่นหรือหนัง Horror มันๆแบบไม่ต้องมีเนื้อเรื่องซับซ้อนอะไร EDF ก็เหมือนกับความบันเทิงตรงนั้นนั่นเอง และแน่นอนว่าถ้าได้เล่นร่วมกับเพื่อนด้วยละก็ความสนุกจะเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่าเหมือนเวลาไปดูหนังกับเพื่อนๆ EDF ก็เช่นเดียวกันครับกับโหมด Co-Op แบบ Split Screen คือเล่น 2 คนบนเครื่องเดียวแบบแบ่งหน้าจอ หรือแบบออนไลน์บน Xbox Live ก็ได้เช่นกัน


โอเคครับๆ จริงๆที่ว่าหลายคนคงจะชอบอะไรที่มันซับซ้อนพลิกแพลง ถ้าเป็นหนังก็ต้องลึกซึ้งในหลายแง่มุมมีความสุนทรีระดับสูงเกมก็ต้องแบบเต็มไปด้วยรายละเอียดแบบ Deus Ex อะไรแบบนั้นถึงจะเรียกว่าเกมนี้สิสุดยอด ไม่เถียงครับเพราะว่าผมก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับ EDF ถึงแม้เกมก็คงจะไม่ได้ชิงรางวัลหรือเป็นแค่ความบันเทิงแบบชั่วครั้งชั่วคราว แต่ด้วยความที่เกมมัน Stay True ต่อความเป็น Arcade Shooter มากๆก็นับได้ว่าเกมมันดีในระดับที่มันควรจะเป็นแล้วจริงๆ มันไม่ได้พยายามจะกลายเป็นอย่างอื่น ไม่ได้จะต้องมีเนื้อเรื่องระดับนิยายอะไร แค่เกมเพลย์ล้วนๆในราคา 40 เหรียญที่ก็ถูกกว่าเกมอื่นๆ ส่วนตัวแล้วต้องขอแอบกระซิบว่า EDF: Insect Armageddon เป็นอีกหนึ่งเกมในดวงใจของปีนี้เลยทีเดียว

ยังครับยังไม่อยากให้จบง่ายๆเพียงแค่นี้ ทีนี้ก็มานั่งคิดต่อเล่นๆว่าเกมสไตลล์แบบนี้จะสามารถมาโยงกับเกมอะไรได้อีก เกมที่ให้เราได้ถล่มศัตรูนับพันแบบไม่ต้องคิดอะไร......... ใช่แล้วครับ Dynasty Warrior นั่นเอง
ไม่ได้จะเปรียบเทียบกันตรงๆระหว่าง Dynasty Warrior กับ EDF นะครับเพราะมันก็ดูจะงี่เง่าไปหน่อย แค่อยากจะบ่นในแง่มุมที่เกมมันคล้ายๆกันเท่านั้น
ก่อนอื่นอย่าเพิ่งเข้าใจผิดเพราะส่วนตัวผมก็เป็นแฟน Dynasty Warrior ถึงจะไม่ใช่แฟนพันธ์แท้แบบเก็บตามทุกเกมก็ตามแต่ก็มีเกมในตระกูล Dynasty Warrior อยู่ไม่ต่ำกว่า 5 เกมก็แล้วกัน (5 จาก ประมาณ 25 เกมทั้งหมดในตระกูล Dynasty Warrior ก็นับว่าโอเคนะ หรือเปล่า)
จริงๆแล้ว Dynasty Warrior เป็นเกมที่มีแฟนๆติดตามอยู่เหนียวแน่นคือถ้าคนชอบก็จะติดตามตลอดแต่คนไม่ชอบก็จะเกลียดไปเลย อีกทั้งตัวเกมยังได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักจากสื่อต่างๆ อาจจะเป็นเพราะคนต่างชาติอาจจะไม่เข้าถึงความลึกของ 3 ก๊ก แต่ก็โทษไม่ได้เพราะว่า Dynasty Warrior มันไม่ได้นำเสนอตรงนั้นแต่เน้นที่ Mindless Action คือมาคนเดียวฆ่าทั้งกองทัพ ซึ่งก็อย่างเดียวกับ EDF คือมันก็ไม่ได้ผิดอะไร ออกจะมี Content มากกว่าด้วยซ้ำทั้งตัวละครที่มากกว่ามากและเนื้อเรื่องที่แยกออกเป็นหลายฝ่าย แต่เกมอาจจะออกมาถี่ไปหน่อยแทบจะทุกปีและไม่มีความพัฒนาจึงได้รับคำวิจารณ์แบบนั้นซึ่งก็ช่วยไม่ได้และส่วนตัวผมว่าทาง Koei ก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรด้วย
แต่เนื่องจากด้วยความเป็น 3ก๊กที่หลายๆคนก็อาจจะเคยได้รับรู้เนื้อเรื่องมาจนเรียกได้ว่าพรุนๆจนไม่รู้จะพรุนยังไงแล้วบวกกับเกมเพลย์แบบเดิมๆตลอดทุกภาคมันเลยทำให้ Dynasty Warrior มันดูเป็นเกมแอ็คชั่นจืดๆลงไป ศัตรูถึงจะเยอะก็จริงแต่ก็เป็นทหารเลวแบบมันไม่มีอะไรน่ามองเมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าแมลงใน EDF ที่มันอาจจะดูตื่นตาตื่นใจกว่าหน่อยนึง และถ้าจะเปรียบเทียบการประจันหน้ากันระหว่างผู้เล่นอย่างเรากับ เทพนักรบลิโป้ กับการประจันหน้าระหว่างเรากับหุ่นยักษ์ขนาดใหญ่กว่าตึก แน่นอนว่าอย่างหลังมันก็ย่อมตื่นตาตื่นใจกว่าอยู่แล้ว (ถึงแม้ว่าเวลาซัดกับลิโป้ใน DW ก็ตื่นเต้นไม่น้อยเหมือนกันก็ตามเพราะอาจจะตายได้ภายใน 2 กระบวนท่า)
นอกจาก 3 ก๊กแล้ว Dynasty Warrior Gundam ที่ล่าสุดออกมาถึงภาค 3 แล้วก็ได้รับคะแนนรีวิวที่แตกต่างกันไปเช่นกัน ข้อดีอย่างนึงของ Gundam นอกจากหุ่นยนต์สุดเท่ห์และแนวกราฟฟิคที่เป็นอนิเมะก็คือส่วนของเนื้อเรื่องที่ยังไม่ตายเพราะว่า Gundam ยังมีภาคใหม่ๆหุ่นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ ถึงแม้ว่า Mechanic การบังคับของหุ่นแต่ละตัวในเกมจะไร้ซึ่งความแตกต่างก็ตามแต่ได้ขับหุ่นใหม่ๆที่ผู้เล่นชอบก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยังช่วยดึงดูดผู้เล่นได้

ไม่เพียงเท่านั้นครับสำหรับค่าย Koei ล่าสุดผมเพิ่งได้มีโอกาสเล่น Fist of the North Star: Ken's Rage ซึ่งโดยรวมตัวเกมมันไม่ได้ต่างกันเลย รูปแบบการเล่นมันก็คือ Dynasty Warriors ในคราบเคนชิโร่นี่แหละ แต่กลับต้องแปลกใจครับเพราะว่าผมเอนจอยกับเกมมากๆ ส่วนนึงคงเพราะความชอบส่วนตัวที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องนี้อยู่แล้ว บวกกับเวลาการใช้ท่าต่างๆมันช่างสะใจ สะใจกว่าท่าผีเสื้อพระจันทร์อันทรงพลานุภาพขนาดทำลายล้างดาวได้ของ Turn A Gundam เสียอีก นี่คงเป็นสเน่ห์ส่วนนึงของตัวเกม (ก็ไม่แน่ถ้าขืน Koei ยังทะลึ่งทำ เคนชิโร่มาอีกเป็นภาคที่ 3 4 5 6 ตอนนั้นคงจะโดนสับระนาว)

Ken's Rage เล่าเรื่องราวตามเนื้อเรื่องฉบับการ์ตูนได้ละเอียดดีทีเดียวครับ

แน่นอนครับว่าเกมพวก Beat them up เหล่านี้คงจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศอะไรในสาขาอะไรทั้งสิ้นเช่นเดียวกับ EDF แต่ถามตัวเราว่าเราต้องการอะไรกันแต่เวลาเล่นเกมกันแน่ (สำหรับผม แค่ความสนุกครับ)

Diablo 3 Pay for Win!

Monday, August 1, 2011
ข่าวล่าสุด Hot สำหรับวันนี้คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกซะจากการออกมาประกาศของทาง Blizzard เกี่ยวกับเกม Diablo 3 ในหลายๆแง่
เรื่องอื่นๆก็จะมีทั้งการที่เกมจะไม่มีระบบ Skill Point อีกแล้วแต่ผู้เล่นจะได้ Skill มาใช้เมื่อถึง Level ที่กำหนด สำหรับตรงนี้อาจจะไม่มีผลกระทบอะไรเท่าไหร่ หลายคนอาจจะไม่ชอบและชอบระบบแบบในภาค 2 มากกว่า แต่มาคิดๆแล้วการทำแบบนี้ก็ช่วยทำให้ผู้เล่นสามารถปรับความสามารถที่ต้องการใช้ได้หลากหลายในอาชีพนั้นๆ (นึกภาพใน Diablo 2 ที่คุณไม่สามารถ Master ทุกสายในอาชีพนั้นๆได้) และอีกอย่างคือเมื่อผู้เล่นมี Level สูงขึ้นไป Skill แรกๆนั้นก็ดูจะด้อยค่าลงไปและ Point ที่ใส่ลงไปกับ Skill นั้นก็ดูจะเสียเปล่าดังนั้นทาง Blizzard จึงตัดสินใจเอาระบบ Skill Point ออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมคุณก็ยังสามารถปรับแต่ง Skill ได้ด้วย Runestone ส่วนข้อเสียเท่าที่ผมมองก็คือมันทำให้ความหลากหลายน้อยลง อย่างเช่นในภาค 2 คุณสามารถเห็นความแตกต่างในอาชีพเดียวกันได้ อย่าง Sorcerer ที่ยิงเวทอย่างเดียว หรือเป็น Malee Sorcerer อะไรแบบนี้ อันเนื่องมาจากการเลือกสายและความจำกัดของ Skill Point แต่ในเมื่อไม่มีตรงนี้ ทุกคนที่เล่นอาชีพนั้นๆก็สามารถเล่นได้ทุกแนวซึ่งไม่ใช่ว่าเป็นข้อเสียอะไรเพียงแต่ว่าความหลากหลายของอาชีพมันจะดูลดลงในความคิดผม

อีกเรื่องนึงก่อนจะเข้าสู่เรื่องใหญ่ก็คือตัวเกมจะต้องการการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตตลอดเวลาตั้งแต่เปิดเข้าเกมเล่นเลยทีเดียว ซึ่งอืมมมอันนี้พอเข้าใจได้นะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิซึ่งก็คงจะป้องกันได้พอสมควรเลยทีเดียวหลายคนอาจจะไม่ชอบใจที่ Diablo มันไม่ใช่เกมออนไลน์ เป็นเกมกล่องที่ถ้าซื้อมาแล้วก็น่าจะเล่นได้ตามใจชอบแต่นี่ไม่ใช่ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่น่ะนะ เพราะเอาจริงๆเราก็ต่อเน็ตกันเกือบจะตลอดเวลากันอยู่แล้ว อาจจะมีปัญหาบ้างถ้าเน็ตล่ม หรือเพิ่งย้ายบ้านยังไม่มีเน็ตแต่อ่าวตูอดเล่น Diablo 3 ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่เกมออนไลน์ซักหน่อยก็อาจจะทำให้หงุดหงิดได้บ้างแต่โดยรวมคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรมาก

แต่ที่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่และอาจทำให้การเล่นเกมหรือเป้าหมายในการเล่นมันเปลี่ยนไปเลยก็คือการที่ Auction House นั้นจะสามารถซื้อขายกันด้วยเงินจริงๆได้ อันนี้ผมไม่เห็นด้วยสุดๆ เหตุผลของทางผู้พัฒนาก็คือว่าสำหรับเกมที่เป็น Item Base แบบ Diablo แบบนี้ไม่ว่ายังไงมันก็จะมีคนที่แอบซื้อขายไอเทมหายากเป็นเงินจริงกันอยู่แล้ว แบบที่เกมออนไลน์ขายเงินในเกมเป็นเงินจริงๆอะไรแบบนั้น ซึ่งก็ถ้ายังไงก็ต้องมีตรงนี้อยู่แล้วงั้นก็จับมาใส่ไว้ในเกมซะเลยจะได้ควบคุมได้ด้วย นี่คือเหตุผลของทาง Blizzard โดย Auction House นั้นจะรันโดยตัวผู้เล่นเองแรกๆราคาของต่างๆคงจะแกว่งมากแต่ทาง Blizzard เชื่อว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางโดยเร็ว และต้องบอกนิดนึงว่าระบบออนไลน์หรือ PVP ในเกมนั้นจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้หลักเกมแบบ E-Sport คือพูดง่ายๆว่าระบบออนไลน์นั้นไม่ได้เน้นให้ผู้เล่นแข่งขันกันจริงจังอะไรดังนั้นเรื่องขายไอเทมคงจะไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงว่าจะทำให้เกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้น

จุดนี้ผมมองอย่างนี้ครับว่ามันก็จริงที่การขายของในเกมเป็นเงินจริงมันก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบ Gameplay อะไรส่วนเรื่องความสมดุลก็เชื่อว่าก็ต้องค่อยๆแก้กันไป แต่สิ่งที่ผมมองคือ มันจะทำให้ความรู้สึกเวลาเล่นเกมเปลี่ยนไป อย่างชัดเจนเมื่อมีเรื่องเงินๆทองๆมาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปกติของมนุษย์ครับอันนี้ต้องยอมรับ อย่างเช่นเราคงจะต้องลุ้นหรือหงุดหงิดตลอดเวลาที่ฆ่่าบอสได้ว่าจะได้ของอะไรมาขายบ้าง แล้วของที่จะขายจะขายยังไงเท่าไหร่ การที่ผู้เล่นจะช่วยเหลือกัน มีการให้ของที่เราไม่ต้องการสำหรับผู้เล่นที่ใหม่หรือ Level ต่ำกว่าก็อาจจะลดลงเพราะก็ในเมื่ออาจจะเอาไปขายเป็นเงินจริงได้นี่ผมว่าต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน จะต้องมีการแย่งซื้อของหายากแล้วเอามาโก่งราคาขายต่อ จะต้องมีกลุ่มคนที่หวังจะทำกำไรตรงนี้เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย แล้วพอเรื่องแบบนี้มันมาเกี่ยวข้องในเกมมันทำให้ ความสนุก ของเกมมันลดลงอย่างแน่นอนสำหรับผม เรื่องแบบนี้อาจจะมองได้หลายมุมมอง บางคนอ้างว่าก็เอื้อประโยชน์สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากเท่าคนอื่นแต่อยากได้ของที่ระดับเทียบเท่ากับคนที่ตะบันเล่นมาหลายร้อยหลายพันชั่วโมงก็สามารถจ่ายตังเพื่อให้ไปถึงตรงนั้นได้ก็แฟร์ๆแล้วก็อาจจะจริง แต่อยากถามว่าแล้วถ้าไม่มีเวลามากจริงๆ ยุ่งกับงานหรือเรื่องอื่นมากจริงๆจะมาแคร์ทำไมตรงนี้ สำหรับเรื่องนี้ส่วนตัวผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าจะหาทางป้องกันมากกว่าคิดว่าป้องกันไม่ได้งั้นก็จับยัดมาใส่ในเกมซะเลย เพราะถ้าคิดแบบนี้เกมออนไลน์อื่นๆที่มีพวกคนมาขายเงินหรือขายของในเกมเป็นเงินจริงจะมาป้องกันกันทำไม และถ้าปล่อยให้ผู้เล่นได้ทำธุรกิจแบบนี้ตามใจละก็ความวุ่นวายมันต้องตามมาแน่ ต้องมีเรื่องโกง เรื่องโก่งราคา เรื่องอะไรต่อมิอะไรตามมาอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อ มีเงินจริง เข้ามาเกี่ยวข้องครับ